คุณ-โทษของดาวที่เดินวิกลคติ

คุณ-โทษของดาวที่เดินวิกลคติ

 ดาวที่เดินผิดปกติคือ  เรียกว่า วิกลคติ   ความหมายของดาวที่เดินผิดปกติโดยปกติแล้วการโคจร หรือการเดิน ของดวงดาวในทางโหราศาสตร์นั้น จะเดินตามระยะเวลาที่ได้มีการ คํานวณเอาไว้แต่ทว่า ในการโคจรดวงดาว จะมีภาวะบางอย่างที่ทําให้ การโคจรแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งในทางโหราศาสตร์ไทยจะกล่าวถ ึงการเดิน แบบผิดปกตินี้มี 3 ลักษณะคือ • มนท์หมายถึงสภาวะที่ดาวโคจร "เชื่องช้า" กว่าปกติหรือเกือบ จะหยุดนิ่ ง • เสริด หมายถึง สภาวะที่ดาวโคจร "เร็ว" กว่าปกติ  • พักร หมายถึง สภาวะที่ดาวโคจร "ถอยหลัง หรืออยู่กับที่แต่ลดองศา" การโคจรที่ผิดปกติทั้ง 3 แบบนี้จะให้ผลอย่างไรกับการอ่านดวงชาตาบ้าง 

#ผลของภาวะ มนท์ทําให้เกิดความเชื่องช้า ทําอะไรก็ไม่ทันใจ ไม่สะดวก จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่คืบหน้าเท่าที่ควรจะเป็น

#ผลของภาวะ เสริด ทําให้เกิดความ รวดเร็วผิดปกติในด้าน ดีคือก้าวหน้า หรือทําอะไรคล่องแคล่วรวดเร็ว ไม่ติดขัด แต่บางทีก็ไม่ใช่ เรื่องดีเช่น การตัดสินใจทําอะไรแบบกระทันหัน หรือไม่รอบคอบหรือ ภาวะทางด้าน ลบ เช่นการเจ็บป่วย หรือภาระทางการเงิน 

#ผลของภาวะ พักร ภาวะนี้ค่อนข้างมีผลเสียกับดวงมาก มีลักษณะที่คล้ายๆกับ มนท์ คือก้าวหน้ายากแต่หนักกว่าตรงที่ บางกรณีจะให้เกิดการเลื่อนให้ช้า ไปกว่าเดิม หรือ อยูในภาวะถดถอย เสื่อมลงไปจากเดิม 

 

สรุปในแบบเข้าใจกันง่ายๆ ดาวโคจรปกติ = คนเดินปกติหมายถึง ทําอะไรตามปกติไม่เร่งรีบ ไมหยุดนิ่ ง และก็ไมเชื่องช้า ดาวโคจรมนท์ = คนเดินจนเหนื่อย จะมีการพัก ไม่ได้ก้าวไปข้าง หน้า แถมยังคิด ว่า จะเดินถอยกลับย้อนไปทางเดิน หรือ จะลุกขึ้นมาวิ่ ง ตามคนอื่นให้ทัน ดาวโคจรเสริด = คนวิ่ง หมายถ ึง ทําอะไรรวดเร็วกว่าเดิม ถ ึงเส้นชัย เป้าหมายเร็วกว่าเดิม แต่ต้องระมัดระวังในความเร็วนั้นด้วย เพราะอาจะเกิดการหกล้ม หรือวิ่ งชนอะไรบาดเจ็บได้  

 ดาวโคจรพักร = คนที่เดินย้อนเส้นทางเดิม หมายถึง การเลื่อนเป้าหมายให้ไกลไปจากเดิม ทําให้ถึงเส้นชัยช้าไปกว่าเดิมด้วย 

. บทกลอนเก่าแก่เกี่ยวกับการโคจรที่วิปริตผิดปกติของดาวที่เดินวิกลคติ คือ    

“จักกล่าวพระเคราะห์จรตามราศี  อันอาจารย์แจ้งอรรถสาลินีพระอภิธรรมโดยมีฎีกามา  พระอาจารย์จารึกบรรทึกไว้คัมภีรไสยตามพุทธโฆษา  พระเคราะห์มนท์เสริดพักรนานา ทํานายว่าต่างๆ จะเกิดเป็น  อังคารพักรมีข้าศึกต่างเมืองมา อังคารเสริดนั้นท่านว่าเกิดยุคเข็ญ  อังคารมนท์จะวิกลบังเกิดเป็น มหาชนเกิดเข็ญออกผีตาย  จะเจ็บท้องลงแดงตายเสียมาก  ความทุกข์ยากในมนุษย์มากหลาย  

 #พระเสาร์และอังคารท่านภิปราย พักรในราศีร้ายจําเพาะมี  คือพฤษภ สิงห์ มีน ธนูพักร ว่าร้ายนักทํานายไว้สี่ราศี  จะเกิดความฉิบหายวายชีวี พระธรณีจะดูดกินซึ่งเลือดคน 

 พระอังคารผิวพักรราศีเมษ มหากษัตริย์จะเป็นเหตุแสดงผล   พระพุธพักรในกุมภราศี พระบุรีร้อนทุกทิศา  ราชบุตรจะต่อยุทธต่อกษัตรา ในเดือนแปดทุติยาเป็นมั่นคง  พระพุทธมนท ์ ว่าฝนนั้นจะน้อย ข้าวกล้าตายฝอยดินแห้งเป็นผุยผง พระศุกรมนท์ข้าวแพง  ทำนายตรง  บูรพาอาจารย์  ท่านนทํานายมา จะเกิดลมพายุวิปริต จะเกิดพระอังคารพักรในราศีเมษธนูสิงห์สามนี้ร้ายหนักหนา  เป็นนิมิตรแก่แผ่นพสุธา จะแยกเป็นสองว่าอัศจรรย์  อีกจไข้ทรพิษเป็นมหันต์  มหาชนจะพินาศลงดาษครัน  อังคารนั่นนมนท ์เกิดไข้ตาย  พฤหัสบดีมนท์แพ้สมณะพรหมณา พระศุกร์มนท์ทายว่าฝนจะแล้ง  ข้าวจะแพง  ข้าวกล้าตาย พระเสาร์มนท ์  นั้นทายว่า  เกิดอันตรายวัวควายจะตาย ประชาราษฎรจะเดือนร้อนทั่วกรุงศร ี ดูทํานายตามพระบาลีที่กล่าวนี้เป็นฉบับโบราณเอย”

 คุณและโทษ ของดาวที่เดินผิดปกติ (วิกลคติ)

 ในการพยากรณ์ดวงชาตา ต้องตรวจสอบทั้งในดวงราศีจักรและดวงนวางค์จักร จะทำให้ทราบคุณภาพของดาวแต่ละดวงอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ดวงนวางค์จักร เปรียบเสมือนกับเครื่อง X-ray เพื่อตรวจสอบคุุณภาพของดาวในดวงราศีจักร

.#ท่านอาจารย์สิงห์โต  สุริยาอารักษ์ ท่านกล่าวว่า การพยากรณ์ดวงชาตาแต่ละดวงจะให้ถูกต้องแม่นยำดีนั้น ขึ้นอยู่กับโหราจารย์แต่ละท่าน ว่าเข้าใจดีหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ดี ทุกแง่ทุกมุมหรือไม่ เช่น คำที่ว่า สิ่งใดดีก็ย่อมเสียได้ สิ่งใดเสียก็ย่อมดีได้ คำพูดอันนี้ ถือว่าเป็นมุมกลับ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังนี้

.๑. ในระยะเวลาที่ดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งพักรองศา หมายถึงการโคจรย้อนจักรราศี หรือย้อนการโคจรตามธรรมชาติของดาวพระเคราะห์นั้น  ดาวพระเคราะห์ที่โคจรพักรนี้ มีคุณภาพไม่ดีนักสำหรับการดูแบบเรือนชะตา    ท่านกลาวว่าในระยะเวลาใดที่เคราะห์ในดวงใดพักรองศา ดาวเคราะห์ดวงนั้น จะมีอิทธิพลแรงกว่าดาวเคราะห์ที่เดินปกติ หากเป็นดาวบาปเคราะห์ จะให้โทษ หากสถิตในตำแหน่งทุสนะภพ(อริ มรณะ วินาสน์) จะให้โทษมากกว่าเดิม หากเป็นดาวศุภเคราะห์ จะให้คุณมากกว่าเดิม ดังต่อไปนี้  

เวลาที่ดาว เดินผิดปกติ (วิกลคติ) กล่าวคือ พักต์ เสริต มนฑ์ ดาวพักร์ คือดาวที่โคจรเคลื่อนที่ถอยหลัง   ดาวเสริด คือดาวที่โคจรเคลื่อนที่เร็ว  ดาวมณฑ์ คือดาวที่โคจรอยู่กับที่ หรือเฉื่อย เดินช้ากว่าปกติ ถ้าเป้นดาวศุภพระเคราะห์ ก็ให้คุณให้โทษมากกว่าปกติ  แต่ถ้าเป้นดาวบาปเคราะห์ จะให้คุณให้โทษ มากกว่าปกติ รุนแรงกว่าดวงดาวที่เดินปกติ เพราะจะทำให้เกิดคลื่นธาตุที่รุนแรงมากกว่าปกติ 

.๑.๑  หากดาวเคราะห์ดวงใดทั้งดวงราศีจักรและดวงนวางค์จักร ได้ตำแหน่งเป็นอุจ หรือเป็นเกษตร จะให้โทษดุจเป็นนิจ เป็นประ เฉพาะดาวที่เป็นฝ่ายบาปเคราะห์

.๑.๒.  หากดาวเคราะห์ดวงใดทั้งดวงราศีจักรและดวงนวางค์จักร ได้ตำแหน่งเป็นนิจ เป็นประ จะให้คุณดุจเป็นอุจ เป็นเกษตร เฉพาะดาวบาปเคราะห์

การให้คุณและการให้โทษ เปรียบเสมือหน้ามือเป็นหลังมือ ดำเป็นขาว

.๒.  หากดาวเคราะห์ธรรมดา ไม่ได้ตำแหน่งเป็นนิจ เป็นประ และไม่เป็นอุจ เป็นเกษตร ดาวดวงนั้น จะให้โทษหรือให้คุณ 

.๒.๑   หากดาวศุภเคราะห์เป็นดาวเจ้าเรือนภพมุมฉาก (จตุโกณ เป็น ๔ จากลัคนา) ย่อมให้คุณหรือโทษ มากกว่าปกติ หากดาวบาปเคราะห์เจ้าของเรือนมุมฉาก  จะให้ผลตรงกันข้าม จากให้คุณเป็นให้โทษ จากให้โทษเป็นให้คุณ

กล่าวสรุป เมื่อเห็นดาวบาปเคราะห์เดินพักรองศา ธรรมชาติของดาวดวงนั้น ย่อมเสีย กล่าวคือ หากดาวเดิมให้โทษ กลับให้คุณ ถ้าดาวดวงเดิมให้คุณ กลับให้โทษ

.๓.  หากดาวเคราะห์ดวงใดได้ตำแหน่งนิจ เล็งกัน เช่น อังคาร(๓) อยู่ราศีกรกฎ พฤหัส(๕) อยู่ราศีมังกร อย่างนี้ ท่านว่าให้คุณ คือ ดาวอุจสับเรือนกัน เหมือนเป็นอนุเกษตร ฉะนั้น ดาวอังคาร(๓) และดาวพฤหัส(๕) กลายเป็นอุจทั้งคู่ เฉพาะดาวนิจเล็งกัน จะส่งผลให้โด่งดังดีเหมือนจรวด

.

๔.  หากดาวเคราะห์ใดได้ตำแหน่งประกับประเล็งกัน เช่น ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีตุลย์ ดาวศุกร์ (๖)อยู่ราศีเมษ ท่านว่าสับเรือนเกษตรกัน ฉะนั้น ทั้งดาวอังคาร(๓)และดาวศุกร์(๖) กลายเป็นดาวที่ได้ตำแหน่งเกษตรทั้งคู่

.๕. หากดาวเคราะห์ใดได้ตำแหน่งอุจกับอุจเล็งกัน เช่น ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีเมษ ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีตุลย์ ท่านบูรพาจารย์ท่านกล่าวว่า ไม่ดี ท่านว่าดวงชาตานั้น เหมือนดวงเดาะกลางคน คือชีวิตจะเจริญก้าวหน้า แต่กลับตกต่ำ ดาวที่เป็นอุจเล็งกัน มี ๔ คู่ คือ ดาวอาทิตย์(๑) กับดาวเสาร์(๗) ดาวอังคา(๓) กับดาวพฤหัส(๕) ดาวจันทร์(๒) กับดาวราหู(๘) และดาวพุธ(๔) กับดาวศุกร์(๖)

.

๖.  ดาวที่ได้ตำแหน่งเกษตรกับเกษตรเล็งกันในดวงชาตา ดาวเกษตรเป็นดาวที่มีความมั่นคง จะไม่เกิดผลร้ายประการใดแก่ดวงชาตา

.๗. ดาวเคราะห์ที่ได้ตำแหน่งนิจในดวงราศีจักร แต่ในดวงนวางค์จักร ได้ตำแหน่งอุจ มีกำลังแรง จะช่วยบรรเทาโทษของการเป็นนิจในดวงราศีจักรได้

.๘. ดาวเคราะห์ในดวงชาตาใดที่ได้ตำแหน่งนิจ สามารถฟื้นจากการเป็นนิจได้ หากมีดาวเคราะห์ที่ได้ตำแหน่งอุจ อยู่ร่วมราศีกัน  เช่น  ดาวพุธ(๔) เป็นนิจอยู่ร่วมกับดาวศุกร์(๖) ซึ่งได้ตำแหน่งอุจ ในราศีมีน ดาวพุธ(๔) จะฟื้นจากการได้ตำแหน่งนิจ  ปกติ หากดาวพุธ(๔) เป็นนิจ เจ้าชาตาจะมีนิสัยเป็นพาล พูดไม่มีมรรยาท มักขู่เข็ญ และทะเลาะกับญาติตนเองอยู่เสมอ ในที่สุดญาติกลับเป็นศัตรู แต่เมื่อดาวพุธ(๔) กลับเป็นอุจ เจ้าชาตา จะเป็นคนที่มีรูปสวยรวยทรัพย์ มีวิชาความรู้ ชอบการศึกษา  เป็นคนร่าเริงแจ่มใส เที่รักใคร่ของคนทั่วไป  เป็นคนมีโชคดีเสมอ เป็นคนที่บุตรบริวารคู่ครองคนรักมาก ชีวิตมีความสุข

.

๙.  ดาวเคราะห์ในดวงชาตาใดได้ตำแหน่งนิจในดวงนวางค์จักร แต่ได้ตำแหน่ง เกษตรในดวงนวางค์จักร ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะมีคุณสมบัติเสมือนเป็นเกษตรจริง

.๑๐. ดาวเคราะห์ในดวงชาตาใด ได้ตำแหน่งนิจ ในดวงราศีจักร และยังสถิตอยู่ในราศีเดียวกับดวงนวางค์จักร ดาวเคราะห์ดวงนั้น ได้ตำแหน่งเป็นวรโคตรนวางค์ ให้ถือว่า  ดาวเคราะห์ดวงนั้น ให้คุณเหมือนกับได้ตำแหน่งเกษตร คุณของวรโคตรนวางค์จะให้คุณดาวนิจที่ได้ตำแหน่งนิจ เปรียบเสมือกับดาวที่ได้ตำแหน่งเกษตร

วรโคตมแปลวา  ประเสริฐ สูงสุด ไร้มลทิน ซึ่งให้คุณสูงกว่า อุจและมหาอุจหลายเท่า

ดาวที่ได้ตำแหน่งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่เสีย  เช่น ประ นิจ พินทุบาทว์กาลกิณี(ตามทักษา)อุบาทว์โลกาวนิ าศ(ตามกาลโยค)เจ้าเรือนทุสถาณภพ หรือเป็นลูกพิษ  แต่ดาวกลับให้คุณสูงมากอย่างน่าอัศจรรย์พูดง่าย ๆ ว่าให้แต่คุณ ไม่ให้โทษ   "ในดวงชะตาใด ถ้าลัคนาหรือดาวดวงใดเสวยวรโคตมนวางค์ เคราะห์ร้ายต่าง ๆ จะไม่เกิดแก่เจ้าชาตา

.๑๑.  ในการพิจารณาตำแหน่งของดาวต่าง ๆ จากพื้นดวงชาตาในดวงราศีจักร ให้พิจารณาว่าดาวดวงนั้น ได้ตำแหน่งอะไรในดวงนวางค์จักร และถือเอาว่าดาวดวงนั้นได้ตำแหน่งตามดวงนวางค์จักรเป็นหลักในการทำนาย

.๑๒.  สรุป

  • หากเป็นดาวศุภเคราะห์พักร ให้ผลดี ให้คุณเพิ่ม แต่หน่วงช้า
  • หากเป็นดาวบาปเคราะห์ จะให้ผลตรงกันข้าม จากให้คุณเป็นการให้โทษเพิ่ม แต่หน่วงช้า จากให้โทษเป็นให้คุณ แต่หน่วงช้า
  • หากดาวเคราะห์ที่พักร เป็นอุจในดวงราศีจักร แต่เป็นนิจในดวงนวางค์จักร ส่งผลให้ดาวดวงนั้นให้ผลเป็นนิจ
  • หากดาวเคราะห์ดวงใดพักร เป็นนิจในดวงราศีจักร แต่เป็นอุจในดวงนวางค์จักร ส่งผลให้ดาวดวงนั้น ได้ตำแหน่งอุจ

      ๒.  เมื่อดาวโคจรแล้วมองออกไปจากโลกเห็นว่าดาวกำลังเดินเร็วกว่าปกติ ทางโหรจะเรียกว่า “ดาวเสริด”

    ๓.  เมื่อดาวโคจรแล้วมองออกไปจากโลกเห็นว่าดาวโคจรช้ากว่าปกติหรือดูเสมือนว่าจะหยุดนิ่ง ทางโหรจะเรียกว่า “ดาวมณฑ์”

   

Read more

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวเสาร์(๗)

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวเสาร์(๗)

ในการพยากรณ์ดวงชาตาตามหลักโหราศาสตร์ไทย จะมีดาวนพเคราะห์จำนวน ๑๐ ดวง โดยแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือดาวศุภะเคราะห์ มีดาวจันทร์(๒) ดาวพุธ(๔) ดาวศุกร์(๖) ดาวพฤหัส(๕)  ดาวบาปเคราะห์ มีดาวอาทิตย์(๑) ดาวอังคาร(๓) ดาวเสาร์(๗) ดาวราหู(๘) ดาวที่เป็นได้ทั้งศุภะเคราะห์และบาปเคราะห์ มีดาวเกตุ(๙) และดาวมฤตยู(๐)  จะเห็นได้ว่าดาวพระเสาร์(๗) เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้

ดาวที่คุ้มโทษได้ มีดาวอะไรบ้าง

ดาวที่คุ้มโทษได้ มีดาวอะไรบ้าง

ในราศีทั้ง ๑๒ ราศี  จะแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ ๑. ปัศวะราศี  ประเภทสัตว์บก ๔ เท้า มีราศีเมษ ราศีพฤษภ และราศีสิงห์  ๒. นระราศี ประเภทมนุษย์ มีราศีเมถุน ราศีกันย์ ราศีตุลย์ ราศีธนู และราศีกุมภ์  ๓. อัมพุราศี  ประเภทสัตว์น้ำมี

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวศุกร์(๖)

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวศุกร์(๖)

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวศุกร์  (Venus) ดาวศุกร์(๖) จากคำกลอนที่ท่านบูรพาจารย์ได้กล่าวว่า “กิเลสสมบัติทายศุกร์” มีคำที่เป็นคำหลัก( keyword ) อยู่สองคำ คือคำว่า กิเลส กับคำว่าสมบัติ .คำว่ากิเลส หมายถึง ความรัก ความสวยงาม รสนิยมทางด้านศิ

ดาวที่เป็นเกษตร ประ หรือนิจ เล็งกัน  จะส่งผลอย่างไรต่อดวงชาตา

ดาวที่เป็นเกษตร ประ หรือนิจ เล็งกัน  จะส่งผลอย่างไรต่อดวงชาตา

ดาวที่เป็นเกษตร ประ หรือนิจ เล็งกัน  จะส่งผลอย่างไรต่อดวงชาตา ๑. ดาวเป็นเกษตรเล็งกัน : กลายเป็น ประเกษตรทั้งคู่      กรณีดาว 2 ดวง มีคุณภาพเป็นเกษตร ด้วยกันทั้งคู่ แต่สถิตอยู่ ในราศีตรงข้ามกันหรือเล็งกัน   กรณีนี้ดาวทั้งคู่ จะมีคุ