เกล็ดความรู้ในการพยากรณ์ว่า เมื่อไรจะรวย

เกล็ดความรู้ในการพยากรณ์ว่า เมื่อไรจะรวย

คำถามที่พบบ่อยที่สุดสำหรับ นักพยากรณ์(หมอดู) ก็คือคำถามที่ว่า เมื่อไรจะรวย

หลักโหราาศาสตร์มี หลายหลักเกณฑ์ ในการพยากรณ์ที่ว่าเมื่อไร  เจ้าชาตาจะร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง 

ท่านอาจารย์สิงห์โต  สุริยาอารักษ์ ท่านได้ให้หลักเกณฑ์ไว้ในหนังสือโหราศาสตร์ไทยชั้นสูง ในการพยากรณ์ดวงชาตาจร ว่า ท่านให้ถือหลักของอุดมเกณฑ์

ท่านอาจารย์บรรเทา จันทรศร(อุตรภัทร์) ท่านแต่งเป็นคำประพันธ์ว่า

 “ดวงองค์เกณฑ์  เป็นความถาวร ไม่ลดหย่อน มีแต่เพิ่มหาใดเหมือน”  

 “อุดมเกณฑ์ถ้าคิดก็ดุจเดือน  ลาภมาเยือนหลายหลากอยู่มากมาย”

องค์เกณฑ์ พระเคราะห์ที่เป็นองค์เกณฑ์ ถึงจะเป็นประ เป็นนิจ เป็นกาลกรรณี ก็สงบความร้ายหมด คงให้คุณตามองค์เกณฑ์

 ในการพิจารณาดวงชะตาของผู้ที่จะมีฐานะร่ำรวย ถึงขั้นเป็นเศรษฐีได้นั้น โหราจารย์ท่านให้พิจารณาจาก ตนุลัคน์ วาสนาของเจ้าชะตา และให้พิจารณาจาก องค์เกณฑ์ อุดมเกณฑ์ เกณฑ์ธนะโยค ปทุมเกณฑ์ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสำนักที่จะให้น้ำหนักความสำคัญกับเกณฑ์ใดเป็นพิเศษ  

ดวงองค์เกณฑ์ เป็นเกณฑ์ที่บ่งบอกถึง ยศถาบรรดาศักดิ์ ความเจริญก้าวหน้า ความรุ่งโรจน์ในชีวิตของเจ้าชะตา

วิธีในการพิจารณา ให้ตรวจสอบก่อนว่า  ก่อนที่จะเรียนรู้เรื่องเกณฑ์ต่างๆ เราก็ต้องทราบประเภทของราศีเสียก่อนครับ ในวิชาโหราศาสตร์ได้แบ่งราศี ออกเป็น 4 ประเภทตามลักษณะของสัญลักษณ์ประจำราศี ดังนี้

คุณสมบัติขององค์เกณฑ์และอุดมเกณฑ์

๑.ให้ตรวจสอบลัคนาของเจ้าชาตาว่า สถิตอยู่ในราศีประเภทใด ๔ ประเภท มี ปัศวะเกณฑ์ นระเกณฑ์ อัมพุเกณฑ์ และกีฏะเกณฑ์

๒. ให้ตรวจสอบว่าในแต่ละเกณฑ์มีดาวอะไร สถิตในราศีของแต่ละเกณฑ์หรือไม่ ตามลัคนาบังคับของแต่ละลัคนา

๓. หากลัคนาและดาวได้เกณฑ์ตามที่กำหนด ลัคนาก็จะได้องค์เกณฑ์ หรืออุดมเกณฑ์

๔. หากลัคนาได้องค์เกณฑ์  หรืออุดมเกณฑ์ จะให้ผลดีแก่เจ้าชาตาตามดาวเจ้าเรือนในดวงชาตาเดิม

ลัคนาราศีเกณฑ์แบ่งได้ดังนี้ ตามโคลงดังนี้

“เมษ พฤษภ สิงห์ สามนี้   ปัศวา เกณฑ์เอย

เมถุน กันย์ ตุลย์ ธันว์ กุมภา   นระแล้ว

กรกฎ มังกร มีนา    อำพุ

พิจิก กีฏะองค์เกณฑ์แก้ว   ครบสี่ราศี”

บทความนี้ จะเน้นเฉพาะอุดมเกณฑ์

 อุดมเกณฑ์ คือ ดาวเคราะห์ตามลัคนาในราศีบังคับเช่นเดียวกับองค์เกณฑ์ แต่เรียกชื่อเป็นอุดมนำหน้า  คำว่าอุดมเกณฑ์  แปลตามศัพท์ว่า ดีมาก หรือสุขสบาย  สวยงาม

อุดมเกณฑ์ อนึ่งพระเคราะห์ที่ได้อุดมเกณฑ์ ท่านว่าเจ้าชะตา จะมิรู้จักเข็ญใจเลย ถ้าไพร่จะได้เป็นนาย

 แต่ละเกณฑ์ ล้วนกล่าวถึงยศศักดิ์ ความเป็นอยู่ เหนือชาติตระกูลเดิม

ท่านได้แต่งคำประพันธ์ไว้ดังนี้

๑ . “ปัศวะมีพระเคราะห์ ภุมม์ศุกร์เกาะพระจันทร์สูรย์

เรือนดีทวีคูณ    กัมมะกูลอริเขา”

ความหมายหากเจ้าชาตาลัคนาสถิตอยู่ใน ราศีปัศวะเกณฑ์ คือราศีเมษ พฤษภ สิงห์ และมีดาวอาทิตย์(๑)  ดาวจันทร์(๒)  ดาวอังคาร(๓)  และดาวศุกร์(๖)  ดาวดวงใด ดวงหนึ่ง  อยู่ในภพอริ หรือภพกัมมะ(การงาน)  ดาวดวงนั้น ได้อุดมเกณฑ์ ประเภทปัศวะเกณฑ์

  

 ๒. “นระคือโสโร   วุโธคือชีโวศุโกรเล่า     สหัชช์ตนุพันธุเคล้า เอาปัตนิและลาภา”  ความหมาย หากลัคนาอยู่ในราศีเกณฑ์นระ คือ ราศีมิถุน กันย์ ตุลย์ ธนู กุมภ์ และมีดาวพุธ(๔) ดาวพฤหัส(๕) ดาวศุกร์(๖) ดาวเสาร์(๗) ดวงใดดวงหนึ่ง อยู่ในภพ สหัชชะ ตนุ พันธุ ปัตนิ ลาภะ  ดาวดวงนั้น ได้อุดมเกณฑ์ ประเภทนระเกณฑ์


๓. “อัมพุคือภุมโม    ชีโวโสโรและโสรา

พันธุแลปุตตา     แลศุภาว่าสำคัญ”  ความหมาย  ลัคนาอยู่ในราศีประเภทอัมพุ คือ ราศีมีน กรกฏ มังกร มีดาวอังคาร(๓) ดาวพฤหัส(๕) ดาวเสาร์(๗) หรือดาวราหู(๘) ดวงใดดวงหนึ่ง อยู่ในภพพันธุ ปุตตะและศุภะ เจ้าชาตาจะได้อุดมเกณฑ์ ประเภทอัมพุราศี

 ๔. “กีฏะคืออสุรินทร์   ทั้งภูมินทร์สหัชช์พัน

ปัตนิศุภะอัน   วินาสน์นั้นอุดมเกณฑ์” ความหมาย ลัคนาอยู่ในราศีประเภทกีฏะ คือ ราศีพิจิก ราศีเดียว และมีดาวเคราะห์ อังคาร(๓) หรือราหู(๘) ดวงใดดวงหนึ่ง อยู่ในภพสหัชชะ ปัตนิ ศุภะ และภพวินาสน์  ดาวดวงนั้น ได้อุดมเกณฑ์ ประเภทกีฏะเกณฑ์

ในการพยากรณ์แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน  คือ

๑. ดวงชาตาเดิม

ในการทำนายดวงชาตาเดิม อันดับแรกก็ต้องตรวจดูว่าลัคนาอยู่ในราศีอะไร และมีดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งอยู่ในภพที่ท่านได้กำหนดไว้ ดาวเคราะห์ดวงนั้นก็ได้อุดมเกณฑ์  ในการทำนายก็ทำนายตามดาวเจ้าเรือนที่ได้ตำแหน่งอุดมเกณฑ์  เช่น เจ้าเรือนกฎุมภะ(การเงิน) ได้อุดมเกณฑ์ ก็ทายว่าดวงชาตานั้นมีเงินมาก ดาวกัมมะ(การงาน) ได้อุดมเกณฑ์ ก็ทายว่ามีงานมาก ดาวลาภะได้อุดมเกณฑ์ ก็ทายว่ามีลาภมาก หากเจ้าเรือนปัตนิ ได้อุดมเกณฑ์ ก็ทายว่า มีคู่มาก อย่างน้อยก็เกินหนึ่งคน

๒.ดวงชาตาจร

การพยากรณ์ดวงชาตาจร ว่าเจ้าชาตาจะรวยเมื่อไรนั้น ให้ถือหลักของอุดมเกณฑ์ เป็นหลัก โดยให้ตรวจสอบก่อนลัคนาเป็นราศีประเภทใดใน ๔ ประเภท คือ ปัศวะราศี นระราศี อัมพุราศีและกีฏะราศี แล้วมีดาวที่กำหนดไว้ในแต่ละราศีในช่วงระยะเวลาใด ช่วงนั้นเจ้าชาตาก็จะร่ำรวย ส่วนจะพยากรณ์ว่า จะร่ำรวยในเรื่องใดก็ขึ้นกับดวงชาตาเดิมว่าดาวดวงนั้นในดวงชาตาเดิม เป็นดาวเจ้าเรือนอะไร ก็จะร่ำรวยในเรื่องนั้น ๆ  ถามว่าจะให้คุณมากน้อย จะต้องวิเคราะห์ว่าดาวดวงนั้น ได้มาตรฐานดีมากน้อยอย่างไร หากได้มาตรฐานดี ก็ให้คุณมาก หากมาตรฐานไม่ดีก็ให้คุณน้อย ให้ตรวจสอบว่า ดาวดวงนั้นโคจรปกติหรือโคจรแบบวิกลคติ 

๑. ลัคนอยู่ราศีประเภทนระเกณฑ์  ได้แก่ราศีมิุน  กันย์ ตุลย์ ธนู กุมภ์  จะได้อุดมเกณฑ์ ตามคำประพันธ์นี้

“นระคือโสโร   วุโธคือชีโวศุโกรเล่า     สหัชช์ตนุพันธุเคล้า เอาปัตนิและลาภา”  ความหมาย หากลัคนาอยู่ในราศีเกณฑ์นระ คือ ราศีมิถุน กันย์ ตุลย์ ธนู กุมภ์ และมีดาวพุธ(๔) ดาวพฤหัส(๕) ดาวศุกร์(๖) ดาวเสาร์(๗) ดวงใดดวงหนึ่ง จรมาอยู่ในภพ สหัชชะ ตนุ พันธุ ปัตนิ ลาภะ  ดาวจรดวงนั้น ได้อุดมเกณฑ์ ประเภทนระเกณฑ์  ก็พยากรณ์ว่า ในช่วงระยะเวลานั้น เจ้าชาตามีโอกาสที่จะเกิดความร่ำรวย  


ถามต่อว่าจะร่ำรวยในเรื่องอะไร ก็ต้องตรวจสอบว่า ดาวพุธ(๔) ดาวพฤหัส(๕) ดาวศุกร์(๖) ดาวเสาร์(๗) ในดวงชาตาเดิม เป็นดาวเจ้าเรือนอะไร จรมาสถิตในภพสหัชชะ ตนุ พันธุ ปัตนิ ลาภะ โดยถือหลักดาวเจ้าเรือนในดวงชาตาเดิมเป็นตัวเรื่อง จรไปสถิตภพสหัชชะ ตนุ พันธุ ปัตนิ ลาภะ เป็นตัวแสดงเรื่อง  ใช้วิธีการพยากรณ์จร แบบภพผสมภพ

ถามต่อว่า จะได้มากหรือน้อย ก็ให้วิเคราะห์ว่าดาวนั้น ได้มาตรฐานดีไหม หากได้มาตรฐานดี ก็จะร่ำรวยมาก หากได้มาตรฐานไม่ดี ก็ร่ำรวยน้อย

๒ . หากลัคนาสถิตราศีประเภทปัศวะเกณ์ คือราศีเมษ พฤษภ สิงห์  จะได้อุดมเกณฑ์ ตามคำประพันธ์นี้

“ปัศวะมีพระเคราะห์ ภุมม์ศุกร์เกาะพระจันทร์สูรย์

เรือนดีทวีคูณ    กัมมะกูลอริเขา”

ความหมายหากเจ้าชาตาลัคนาสถิตอยู่ใน ราศีปัศวะเกณฑ์ คือราศีเมษ พฤษภ สิงห์ และมีดาวอาทิตย์(๑)  ดาวจันทร์(๒)  ดาวอังคาร(๓)  และดาวศุกร์(๖)  ดาวดวงใด ดวงหนึ่ง  อยู่ในภพอริ หรือภพกัมมะ(การงาน)  ดาวดวงนั้น ได้อุดมเกณฑ์ ประเภทปัศวะเกณฑ์

ถามต่อว่าจะร่ำรวยในเรื่องอะไร ก็ต้องตรวจสอบว่าดาวอาทิตย์(๑)  ดาวจันทร์(๒)  ดาวอังคาร(๓)  และดาวศุกร์(๖) ในดวงชาตาเดิม เป็นดาวเจ้าเรือนอะไร จรมาสถิตในภพกัมมะ(การงาน)และภพอริ โดยถือหลักดาวเจ้าเรือนในดวงชาตาเดิมเป็นตัวเรื่อง จรไปสถิตภพกัมมะ(การงาน)และภพอริ  เป็นตัวแสดงเรื่อง  ใช้วิธีการพยากรณ์จร แบบภพผสมภพ

ถามต่อว่า จะได้มากหรือน้อย ก็ให้วิเคราะห์ว่าดาวนั้น ได้มาตรฐานดีไหม หากได้มาตรฐานดี ก็จะร่ำรวยมาก หากได้มาตรฐานไม่ดี ก็ร่ำรวยน้อย

  

๓. ลัคนาอยู่ในราศีประเภทอัมพุ คือ ราศีมีน กรกฏ มังกร จะได้อุดมเกณฑ์ ตามคำประพันธ์นี้

“อัมพุคือภุมโม    ชีโวโสโรและโสรา

พันธุแลปุตตา     แลศุภาว่าสำคัญ”  ความหมาย  ลัคนาอยู่ในราศีประเภทอัมพุ คือ ราศีมีน กรกฏ มังกร มีดาวอังคาร(๓) ดาวพฤหัส(๕) ดาวเสาร์(๗) หรือดาวราหู(๘) ดวงใดดวงหนึ่ง อยู่ในภพพันธุ ปุตตะและศุภะ เจ้าชาตาจะได้อุดมเกณฑ์ ประเภทอัมพุราศี

ถามต่อว่าจะร่ำรวยในเรื่องอะไร ก็ต้องตรวจสอบว่าดาวอังคาร(๓) ดาวพฤหัส(๕) ดาวเสาร์(๗) หรือดาวราหู(๘) ในดวงชาตาเดิม เป็นดาวเจ้าเรือนอะไร จรมาสถิตใน ภพพันธุ ปุตตะและศุภะ โดยถือหลักดาวเจ้าเรือนในดวงชาตาเดิมเป็นตัวเรื่อง จรไปสถิตภพพันธุ ปุตตะและศุภะ  เป็นตัวแสดงเรื่อง  ใช้วิธีการพยากรณ์จร แบบภพผสมภพ

ถามต่อว่า จะได้มากหรือน้อย ก็ให้วิเคราะห์ว่าดาวนั้น ได้มาตรฐานดีไหม หากได้มาตรฐานดี ก็จะร่ำรวยมาก หากได้มาตรฐานไม่ดี ก็ร่ำรวยน้อย

 ๔.  ลัคนาอยู่ในราศีประเภทกีฏะ คือ ราศีพิจิก ราศีเดียว จะได้อุดมเกณฑ์ ตามคำประพันธ์นี้

“กีฏะคืออสุรินทร์   ทั้งภูมินทร์สหัชช์พัน

ปัตนิศุภะอัน   วินาสน์นั้นอุดมเกณฑ์” 

ความหมาย ลัคนาอยู่ในราศีประเภทกีฏะ คือ ราศีพิจิก ราศีเดียว และมีดาวเคราะห์ อังคาร(๓) หรือราหู(๘) ดวงใดดวงหนึ่ง อยู่ในภพสหัชชะ ปัตนิ ศุภะ และภพวินาสน์  ดาวดวงนั้น ได้อุดมเกณฑ์ ประเภทกีฏะเกณฑ์

ถามต่อว่าจะร่ำรวยในเรื่องอะไร ก็ต้องตรวจสอบว่า ดาวอังคาร(๓) และดาวราหู(๘) ในดวงชาตาเดิม เป็นดาวเจ้าเรือนอะไร จรมาสถิตใน ภพสหัชชะ ปัตนิ ศุภะ และภพวินาสน์ เมื่อใด โดยถือหลักดาวเจ้าเรือนในดวงชาตาเดิมเป็นตัวเรื่อง จรไปสถิตภพสหัชชะ ปัตนิ ศุภะ และภพวินาสน์เป็นตัวแสดงเรื่อง  ใช้วิธีการพยากรณ์จร แบบภพผสมภพ

ถามต่อว่า จะได้มากหรือน้อย ก็ให้วิเคราะห์ว่าดาวนั้น ได้มาตรฐานดีไหม หากได้มาตรฐานดี ก็จะร่ำรวยมาก หากได้มาตรฐานไม่ดี ก็ร่ำรวยน้อย

ดวงตัวอย่าง

๒.ดวงชาตาจร

การพยากรณ์ดวงชาตาจร ว่าเจ้าชาตาจะรวยเมื่อไรนั้น ให้ถือหลักของอุดมเกณฑ์ เป็นหลัก โดยให้ตรวจสอบก่อนลัคนาเป็นราศีประเภทใดใน ๔ ประเภท คือ ปัศวะราศี นระราศี อัมพุราศีและกีฏะราศี แล้วมีดาวที่กำหนดไว้ในแต่ละราศีในช่วงระยะเวลาใด ช่วงนั้นเจ้าชาตาก็จะร่ำรวย ส่วนจะพยากรณ์ว่า จะร่ำรวยในเรื่องใดก็ขึ้นกับดวงชาตาเดิมว่าดาวดวงนั้นในดวงชาตาเดิม เป็นดาวเจ้าเรือนอะไร ก็จะร่ำรวยในเรื่องนั้น ๆ  ถามว่าจะให้คุณมากน้อย จะต้องวิเคราะห์ว่าดาวดวงนั้น ได้มาตรฐานดีมากน้อยอย่างไร หากได้มาตรฐานดี ก็ให้คุณมาก หากมาตรฐานไม่ดีก็ให้คุณน้อย ให้ตรวจสอบว่า ดาวดวงนั้นโคจรปกติหรือโคจรแบบวิกลคติ 

๑. ลัคนอยู่ราศีประเภทนระเกณฑ์  ได้แก่ราศีมิุน  กันย์ ตุลย์ ธนู กุมภ์  จะได้อุดมเกณฑ์ ตามคำประพันธ์นี้

“นระคือโสโร   วุโธคือชีโวศุโกรเล่า     สหัชช์ตนุพันธุเคล้า เอาปัตนิและลาภา”  ความหมาย หากลัคนาอยู่ในราศีเกณฑ์นระ คือ ราศีมิถุน กันย์ ตุลย์ ธนู กุมภ์ และมีดาวพุธ(๔) ดาวพฤหัส(๕) ดาวศุกร์(๖) ดาวเสาร์(๗) ดวงใดดวงหนึ่ง จรมาอยู่ในภพ สหัชชะ ตนุ พันธุ ปัตนิ ลาภะ  ดาวจรดวงนั้น ได้อุดมเกณฑ์ ประเภทนระเกณฑ์  ก็พยากรณ์ว่า ในช่วงระยะเวลานั้น เจ้าชาตามีโอกาสที่จะเกิดความร่ำรวย  


ลัคนาราศีกันย์ เป็นราศีประเภทนระราศี ให้ตรวจสอบว่า  มีดาวพุธ(๔) ดาวพฤหัส(๕) ดาวศุกร์(๖) ดาวเสาร์(๗) ดวงใดดวงหนึ่ง จรมาอยู่ในภพ สหัชชะ ตนุ พันธุ ปัตนิ ลาภะ  

ขณะนี้ มีดาวศุกร์(๖) เจ้าเรือนกดุมภะ(การเงิน) และเจ้าเรือนศุภะ(ความมั่นคงในอาชีพการงาน/ต่างประเทศ) มาสถิตภพตนุ ดาวศุกร(๖) ในดวงชาตาเดิมสถิตราศีสิงห์ ธาตุไฟ  ขณะดาวศุกร์(๖) จรมาสถิตราศีกันย์ ธาตุดิน ฉะนั้น ดาวศุกร์(๖) เป็นธาตุ ชั้น ๓ ธาตุเป็นกลาง ในดวงราศีจักรจร ได้ตำแหน่งเป็นนิจ  แต่ในดวงนวางค์จักร ได้ตำแหน่งเทวีโชค แต่ดาวศุกร์(๖) ทับลัคนา จะมีคุณภาพเป็นราชาโชค ดาวศุกร์(๖) เป็นราชาโชค สถิตราศีกรกฎ เป็นราศีธาตุน้ำ ได้ตำแหน่งเป็นอสีติธาตุ ดาวศุกร์(๖)เป็นราชาโชค เจ้าชาตาจะเป็นคนที่ประชาชนนิยม รัก ยกย่องสรรเสริญ หากทำราชการจะเจริญรุ่งเรือง และมีอายุยืนนาน

ฉะนั้น ดาวศุกร์(๖) เป็น ๑ กับลัคนา ได้องค์เกณฑ์ จะเปลี่ยนจากธาตุ ชั้น ๓ ธาตุเป็นกลาง กลายเป็นธาตุ ชั้น ๑ อสีติธาตุ ให้คุณแก่เจ้าชาตามาก

๑. ดาวศุกร์(๖) เจ้าเรือนตนุจรสถิตภพกดุมพะ พยากรณ์ว่า เจ้าชะตามีวาสนาดีในด้านการเงินและทรัพย์สินสมบัติ มีโชคลาภและประสบความสำเร็จทางการเงิน มีโชคดีและมีชื่อเสียงในการทำมาหากิน 

๒.ดาวศุกร์(๖) เจ้าเรือนศุภะจรสถิตภพตนุ พยากรณ์ว่า เจ้าชะตามีวาสนาดี มีโชคลาภและมีความสำเร็จในชีวิต มีผู้ใหญ่ให้การอุปถัมภ์ค้ำจุนและส่งเสริมให้มีความสุขและความสำเร็จ มีโชคดีได้ศึกษาต่อในระดับสูงๆ มีโชคดีได้เดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการไปเพื่อศึกษาต่อ ดูงานหรือไปท่องเที่ยว

ถามต่อว่าจะร่ำรวยในเรื่องอะไร ก็ต้องตรวจสอบว่า ดาวพุธ(๔) ดาวพฤหัส(๕) ดาวศุกร์(๖) ดาวเสาร์(๗) ในดวงชาตาเดิม เป็นดาวเจ้าเรือนอะไร จรมาสถิตในภพสหัชชะ ตนุ พันธุ ปัตนิ ลาภะ โดยถือหลักดาวเจ้าเรือนในดวงชาตาเดิมเป็นตัวเรื่อง จรไปสถิตภพสหัชชะ ตนุ พันธุ ปัตนิ ลาภะ เป็นตัวแสดงเรื่อง  ใช้วิธีการพยากรณ์จร แบบภพผสมภพ

ถามต่อว่า จะได้มากหรือน้อย ก็ให้วิเคราะห์ว่าดาวดวงนั้น ได้มาตรฐานดีไหม หากได้มาตรฐานดี ก็จะร่ำรวยมาก หากได้มาตรฐานไม่ดี ก็ร่ำรวยน้อย

Read more

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวเสาร์(๗)

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวเสาร์(๗)

ในการพยากรณ์ดวงชาตาตามหลักโหราศาสตร์ไทย จะมีดาวนพเคราะห์จำนวน ๑๐ ดวง โดยแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือดาวศุภะเคราะห์ มีดาวจันทร์(๒) ดาวพุธ(๔) ดาวศุกร์(๖) ดาวพฤหัส(๕)  ดาวบาปเคราะห์ มีดาวอาทิตย์(๑) ดาวอังคาร(๓) ดาวเสาร์(๗) ดาวราหู(๘) ดาวที่เป็นได้ทั้งศุภะเคราะห์และบาปเคราะห์ มีดาวเกตุ(๙) และดาวมฤตยู(๐)  จะเห็นได้ว่าดาวพระเสาร์(๗) เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้

ดาวที่คุ้มโทษได้ มีดาวอะไรบ้าง

ดาวที่คุ้มโทษได้ มีดาวอะไรบ้าง

ในราศีทั้ง ๑๒ ราศี  จะแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ ๑. ปัศวะราศี  ประเภทสัตว์บก ๔ เท้า มีราศีเมษ ราศีพฤษภ และราศีสิงห์  ๒. นระราศี ประเภทมนุษย์ มีราศีเมถุน ราศีกันย์ ราศีตุลย์ ราศีธนู และราศีกุมภ์  ๓. อัมพุราศี  ประเภทสัตว์น้ำมี

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวศุกร์(๖)

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวศุกร์(๖)

เคล็ดลับเกี่ยวกับดาวศุกร์  (Venus) ดาวศุกร์(๖) จากคำกลอนที่ท่านบูรพาจารย์ได้กล่าวว่า “กิเลสสมบัติทายศุกร์” มีคำที่เป็นคำหลัก( keyword ) อยู่สองคำ คือคำว่า กิเลส กับคำว่าสมบัติ .คำว่ากิเลส หมายถึง ความรัก ความสวยงาม รสนิยมทางด้านศิ

คุณ-โทษของดาวที่เดินวิกลคติ

คุณ-โทษของดาวที่เดินวิกลคติ

ดาวที่เดินผิดปกติคือ  เรียกว่า วิกลคติ   ความหมายของดาวที่เดินผิดปกติโดยปกติแล้วการโคจร หรือการเดิน ของดวงดาวในทางโหราศาสตร์นั้น จะเดินตามระยะเวลาที่ได้มีการ คํานวณเอาไว้แต่ทว่า ในการโคจรดวงดาว จะมีภาวะบางอย่างที่ทําให้ การโคจรแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งในทางโหราศาสตร์ไทยจะกล่าวถ ึงการเดิน แบบผิ